ดูแลตัวเองอย่างไร ลดเสี่ยงความดันโลหิตสูง

โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ชี้ โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ต้องคอยควบคุมอาการไปตลอด การหมั่นตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ตรวจพบอาการได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้อีกด้วย

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดี กรมการแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ขนานนาม โรคความดันโลหิตสูงเอาไว้ว่า คือ “ฆาตกรเงียบ” (Silience Killer) 

สาเหตุมาจากการที่โรคความดันโลหิตสูงสามารถทำลายสุขภาพร่างกายของมนุษย์ และคร่าชีวิตของผู้คนทั่วโลกเป็นจำนวนมาก 

เมื่อความดันเลือดในร่างกายสูบฉีดไปสู่หัวใจสูงกว่าปกติ ในเบื้องต้นจะไม่มีอาการของโรค กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัว ระดับความดันในเลือดก็สูงจนเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง  ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดสมอง (Stroke) โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Heart Disease) โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เส้นเลือดในสมองตีบ แตก ตัน ไตวาย จอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตอยู่ในระดับสูงผิดปกติ คือมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม อาจทำให้ผู้ป่วยทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้ โดยผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการแต่อย่างใด แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะตุบๆ บริเวณท้ายทอย ตามัว อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เลือดกำเดาไหล เป็นต้น

นายแพทย์เคย์ เผ่าภูรี หน่วยโรคหัวใจ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า 

การป้องกันโรคความดันโลหิตสูง สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังนี้ 

  1. จำกัดปริมาณเกลือและโซเดียมในอาหาร องค์การอนามัยโลกกำหนดปริมาณการบริโภคโซเดียมที่เหมาะสมไว้คือ ไม่เกินวันละ 2 กรัม 
  2. งดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสูดควันบุหรี่ และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
  3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยให้มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 18.5 – 22.9 กก./ตร.ม. และมีเส้นรอบเอวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสำหรับคนไทย คือ ผู้ชายไม่เกิน 90 ซม. (36 นิ้ว) และสำหรับผู้หญิงไม่เกิน 80 ซม. (32 นิ้ว) 
  4. เพิ่มกิจกรรมทางกายหรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน 
  5. พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ 
  6. วัดความดันโลหิตเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากพบว่ามีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาต่อไป

ที่มา : กรมการแพทย์        

ttps://www.facebook.com/share/p/gqmen5zC1waAvF2W/?mibextid=oFDknk